วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รำกลองยาว

ตัวอย่างภาคกลาง

รำหลองยาว หรือ เถิดเทิง




ประวัติความเป็นมา

                การเล่นเถิดเทิง มีผู้สันนิษฐานว่าเป็นของพม่านิยมเล่นกันมาก่อน  เมื่อครั้งพม่ามาทำสงครามกับไทย  ในสมัยกรุงธนบุรี หรือสมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์  เวลาพักรบพวกทหารพม่าก็เล่นสนุกสนานด้วยการเล่น ต่าง ๆ ซึ่งทหารพม่าบางพวกก็เล่น “กลองยาว”  พวกไทยเราได้เห็นก็จำมาเล่นกันบ้าง  ยังมีเพลงดนตรีเพลงหนึ่งซึ่งดนตรีไทยนำมาใช้บรรเลง  มีทำนองเป็นเพลงพม่า  เรียกกันมาแต่เดิมว่า  เพลงพม่ากลองยาว  ต่อมาได้มีผู้ปรับเป็นเพลงระบำ  กำหนดให้ผู้รำแต่งตัวใส่เสื้อนุ่งโสร่งตา  ศีรษะโพกผ้าสีชมพู (หรือสีอื่น ๆ บ้างตามแต่จะให้สีสลับกัน  เห็นสวยอย่างแบบระบำ)มือถือขวานออกมาร่ายรำเข้ากับจังหวะเพลงที่กล่าวนี้  จึงเรียกเพลงนี้กันอีกชื่อหนึ่งว่า  เพลงพม่ารำขวาน

     อีกความหนึ่งมีผู้กล่าวว่า การเล่นเทิงบ้องกลองยาวนี้  เพิ่งมีเข้ามาในเมืองไทยเมื่อสมัยรัชกาลที่ 4  กรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง  กล่าวคือ  มีพม่าพวกหนึ่งนำเข้ามาในรัชกาลนั้น  ยังมีบทร้องกราวรำยกทัพพม่า  ในการแสดงละครเรื่องพระอภัยมณี  ตอน  เก้าทัพ ซึ่งนิยมเล่นกันมาแต่ก่อน  สังเกตดูก็เป็นตำนานอยู่บ้างแล้ว  คือ  ร้องกันว่า

          ทุงเล ฯ     ทีนี้จะเห่พม่าใหม่

          ตกมาเมืองไทย    มาเป็นผู้ใหญ่ตีกลองยาว

          ตีว่องตีไวตีได้จังหวะ   ทีนี้จะกะเป็นเพลงกราว

          เลื่องชื่อลือฉาว    ตีกลองยาวสลัดได ๆ


                 เมื่อชาวไทยเราเห็นเป็นการละเล่นที่สนุกสนานและเล่นได้ง่าย  ก็เลยนิยมเล่นกันแพร่หลายไปแทบทุกหัวบ้านหัวเมือง  สืบมาจนตราบทุกวันนี้  กลองยาวที่เล่นกันในวงหนึ่ง ๆ มีเล่นกันหลายลูกมีสายสะพายเฉวียงป่าของผู้ตี  ลักษณะรูปร่างของกลองยาวขึงหนังด้านเดียวอีกข้างหนึ่งเป็นหางยาว  บานปลายเหมือนกับกลองยาวของชาวเชียงใหม่  แต่กลองยาวของชาวเชียงใหม่เป็นกลองยาวจริง ๆ ยาวถึงประมาณ  2 วา  ส่วนกลองยาวอย่างที่เล่นกันนี้  ยาวเพียงประมาณ  3  ศอกเท่านั้น  ซึ่งสั้นกว่าของเชียงใหม่มาก  ทางภาคอีสานเรียกกลองยาวชนิดนี้ว่า  กลองหาง


     กลองยาวแบบนนี้ของพม่าเรียกว่า  โอสิ มีลักษณะคล้ายคลึงกับของชาวไทยอาหมในแคว้นอัสสัม  เว้นแต่ของชาวไทยอาหมรูปร่างคล้ายตะโพน คือ หัวท้ายเล็ก กลางป่องใบเล็กกว่าตะโพน  ขึ้นหนังทั้งสองข้าง  ผูกสายสะพายตีได้  ตามที่เห็นวิธีเล่นทั้งกลองยาวของพม่าและกลองของชาวไทยอาหม  ดูวิธีการเล่นเป็นแบบเดียวกัน  อาจเลียนแบบการเล่นไปจากกันก็ได้


     เมื่อรัฐบาลไทยมอบให้คณะนาฏศิลป์ของกรมศิลปากรไปแสดงเพื่อเชื่อมสัมพันธ ไมตรี ณ นครย่างกุ้งและมัณฑเลย์  ระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน  พ.ศ.2509  ทางรัฐบาลพม่าได้จัดนักโบราณคดีพม่าผู้หนึ่งเป็นผู้นำชมพิพิธภัณฑ์สถานและ โบราณสถานเรื่องกลองยาวได้กล่าวว่า  พม่าได้กลองยาวมาจากไทยใหญ่อีกต่อหนึ่ง


     การละเล่นประเภทนี้ว่า เถิดเทิง เทิงบ้องนั้น คงเรียกตามเสียงกลองยาว กล่าวคือ  มีเสียงเมื่อเริ่มตีเป็นจังหวะ  หูคนไทยได้ยินเป็นว่า “เถิด-เทิง-บ้อง-เทิง-บ้อง” ก็เลยเรียกตามเสียงที่ได้ยินว่าเถิดเทิง หรือเทิงบ้องกลองยาวตามกันไป  เพื่อให้ต่างกับการเล่นอย่างอื่น


          การแต่งกาย






๑. ชาย นุ่งกางเกงขายาวครึ่งแข้ง สวมเสื้อคอกลม แขนสั้น เหนือศอก มีผ้าโพกศีรษะและผ้าคาดเอว
๒. หญิง นุ่งผ้าซิ่นมีเชิงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อทรงกระบอกคอปิด ผ่าอกหน้า ห่มสไบทับเสื้อ คาดเข็มขัดทับเสื้อ ใส่สร้อยคอและต่างหู ปล่อยผมทัดดอกไม้

         โอกาสและวิธีการเล่น
  
          นิยมเล่นกันในงานตรุษ งานสงกรานต์ หรืองานแห่แหน ซึ่งต้อง เดินเคลื่อนขบวน เช่น ในงานแห่นาค แห่พระ และแห่กฐิน เป็นต้น คนดูคนใดรู้สึกสนุกจะเข้าไป รำด้วยก็ได้ เพราะเป็นการเล่นอย่างชาวบ้าน เคลื่อนไปกับขบวน พอถึงที่ตรงไหนมีลานกว้างหรือเหมาะก็หยุดตั้งวงเล่นกันก่อนพักหนึ่งแล้วเคลื่อนไปต่อ การเล่นเถิดเทิงกรมศิลปากรปรับปรุงใหม่ กำหนดให้มีแบบแผนลีลาท่ารำ โดยกำหนดให้มีกลองรำ กลองยืนด้วย


          - กลองรำ หมายถึง ผู้ที่แสดงลวดลายในการร่ายรำ
         
          - กลองยืน หมายถึง ผู้ตีกลองยืนให้จังหวะในการรำ 

         การเล่นเถิดเทิงแบบนี้มีมาตรฐานตายตัว ผู้เล่นทั้งหมดต้องได้รับการฝึกฝนมาก่อน คนดูจะได้เห็นความงามและความสนุกสนานแม้จะไม่ได้ร่วมเล่นด้วยก็ตาม จำนวนผู้แสดงแบบนี้จะมีเป็นชุด คือ พวกตีเครื่องประกอบจังหวะ คนตีกลองยืน คนตีกลองรำ และผู้หญิงที่รำล่อ พวกตีประกอบจังหวะ จะร้องประกอบเร่งเร้าอารมณ์ให้สนุกสนานในขณะที่ตีด้วย เช่น


“มาแล้วโหวย มาแล้ววา มาแต่ของเขา ของเราไม่มา ตะละล้า”

“ต้อนเข้าไว้ ต้อนเขาไว้ เอาไปบ้านเรา พ่อก็แก่แม่ก็เฒ่าเอาไปหุงข้าวให้พวกเรากินตะละล้า”
“ใครมีมะกรูด มาแลกมะนาว ใครมีลูกสาว มาแลกลูกเขย เอาวะ เอาเหวย ลูกเขยกลองยาว ตะละล้า”

         ที่เรียกการเล่นประเภทนี้ว่า เถิดเทิง เทิงบ้องนั้น คงเรียกกันตามเสียงกลองยาว กล่าวคือมีเสียงเมื่อเริ่มตีเป็นจังหวะ หูคนไทยได้ยินเป็นว่า “เถิด – เทิง – บ้อง – เทิง – บ้อง” เลยเรียกตามเสียงที่ได้ยินว่าเถิดเทิง หรือเทิงบ้องกลองยาวตามกันไป เพื่อให้ต่างกับการเล่นอื่น



คลิปการแสด



- ขอขอบคุณวิดีโอจากกรมศิลปากร

1 ความคิดเห็น: